บทเรียน

1. ความหมายของวิทยาศาสตร์ 
                   วิทยาศาสตร์  ( Science )  หมายถึง  การศึกษาหาความจริงเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบๆตัวเรา ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต  อย่างมีขั้นตอนและระเบียบแบบแผน วิทยาศาสตร์แบ่งออกได้ดังนี้
                   1.  วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์  ( pure  science )  หรือ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ( natural  science ) เป็นการศึกษาหาความจริงใหม่ๆ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ  เพื่อนำไปสู่กฎเกณฑ์และทฤษฎีต่างๆทางวิทยาศาสตร์ เช่น กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน  กฎของโอห์ม  ทฤษฎีสัมพัทธภาพของของไอน์สไตน์  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์  เป็นต้น  วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์แบ่งออกเป็น 2 สาขาคือ
                   วิทยาศาสตร์กายภาพ ( physical  science )  ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต  เช่น  ฟิสิกส์  เคมี  ดาราศาสตร์  ธรณีวิทยา  เป็นต้น
                   .   วิทยาศาสตร์ชีวภาพ  ( biological  science )  ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต  เช่น พฤกษศาสตร์  สัตวศาสตร์  เป็นต้น
                   2.   วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ( applied  science )  เป็นการนำความรู้จากกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มาประยุกต์เป็นหลักการทางเทคโนโลยี  เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคม เช่น วิศวกรรมศาสตร์  แพทยศาสตร์  สถาปัตยกรรมศาสตร์  เป็นต้น

2.   การค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
                   การค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์   ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นการค้นคว้าหาความจริงจากปรากฎการณ์ธรรมชาติ  ซึ่งสามารถทำได้ 3 แนวทางคือ
1.        จากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ
2.        จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ
3.        จากการสร้างแบบจำลอง ( model )  ทางความคิด                 
3.   ฟิสิกส์
                   เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ศึกษาธรรมชาติของสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ทำได้โดยการสังเกต การทดลอง และการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสรุปผลเป็นทฤษฎี หลักหรือกฎ ความรู้เหล่านี้ สามารถนำไปใช้อธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือทำนายสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและความรู้นี้สามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์
                   ความสำคัญของการศึกษาทางด้านฟิสิกส์ คือข้อมูลที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงกฎและทฤษฎีที่มีอยู่เดิม ข้อมูลที่ได้นี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
                   ข้อมูลเชิงคุณภาพ ( qualitative  data )  เป็นข้อมูลที่ไม่เป็นตัวเลข  ได้จากการสังเกตตามขอบเขตของการรับรู้ เช่น รูปร่าง  ลักษณะ  กลิ่น  สี  รส เป็นต้น
                   ข้อมูลเชิงปริมาณ ( quantitative  data )  เป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลข  ได้จากการวัดปริมาณต่างๆโดยใช้เครื่องมือวัดและวิธีการวัดที่ถูกต้อง เช่น มวล  ความยาว  เวลา  อุณหภูมิ  เป็นต้น

4.   เทคโนโลยี
                   เป็นวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ในการสร้าง การผลิต หรือการใช้อุปกรณ์ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์โดยตรง

5.   ปริมาณกายภาพ
                   ปริมาณกายภาพ  ( physical  quantity )  เป็นปริมาณทางฟิสิกส์ที่ได้จากข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น  มวล  แรง  ความยาว  เวลา  อุณหภูมิ  เป็นต้น  ปริมาณกายภาพแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
                   1.  ปริมาณฐาน  ( base  unit )  เป็นปริมาณหลักของระบบหน่วยระหว่างชาติ  มี 7 ปริมาณ ดังนี้

ปริมาณฐาน

ชื่อหน่วย
สัญลักษณ์
ความยาว
เมตร
m
มวล
กิโลกรัม
kg
เวลา
วินาที
s
กระแสไฟฟ้า
แอมแปร์
A
อุณหภูมิอุณหพลวัติ
เคลวิน
K
ปริมาณสาร
โมล
mol
ความเข้มของการส่องสว่าง
แคนเดลา
cd
                   2.  ปริมาณอนุพัทธ์  ( derived  unit )  เป็นปริมาณที่ได้จากปริมาณฐานตั้งแต่ 2 ปริมาณขึ้นไปมาสัมพันธ์กัน  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ปริมาณอนุพัทธ์
ชื่อหน่วย
สัญลักษณ์
เทียบเป็นหน่วยฐาน
และอนุพัทธ์อื่น
ความเร็ว
เมตรต่อวินาที
m/s
1 m / s  = 
ความเร่ง
เมตรต่อวินาที2
m /s2
1 m / s2 =  
แรง
นิวตัน
N
1 N  =  1 kg. m /s2 
งาน  พลังงาน
จูล
J
1 J  =  1 N.m
กำลัง
วัตต์
W
1 W  =  1 J /s
ความดัน
พาสคาล
Pa
1 Pa  =  1  N / m2 
ความถี่
เฮิรตซ์
Hz
1 Hz  =  1 s – 1 

6.   ระบบหน่วยระหว่างชาติ
                   ในสมัยก่อนหน่วยที่ใช้สำหรับวัดปริมาณต่างๆ  มีหลายระบบ  เช่น  ระบบอังกฤษ  ระบบเมตริกและระบบของไทย  ทำให้ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน  ดังนั้นปัจจุบันหลายๆประเทศ   รวมทั้งประเทศไทยด้วยได้ใช้หน่วยสากลที่เรียกว่า  ระบบหน่วยระหว่างชาติ  ( The  Internation  System  of  Unit  )  เรียกย่อว่า  ระบบเอสไอ  (  SI Units ) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยฐาน  และหน่วยอนุพัทธ์  ดังนี้
                   1.  หน่วยฐาน ( base  unit ) เป็นปริมาณหลักของระบบหน่วยระหว่างชาติ  มี 7 ปริมาณ ดังนี้

ปริมาณฐาน

ชื่อหน่วย
สัญลักษณ์
ความยาว
เมตร
m
มวล
กิโลกรัม
kg
เวลา
วินาที
s
กระแสไฟฟ้า
แอมแปร์
A
อุณหภูมิอุณหพลวัติ
เคลวิน
K
ปริมาณสาร
โมล
mol
ความเข้มของการส่องสว่าง
แคนเดลา
cd

                   2.  หน่วยอนุพัทธ์  ( derived  unit )  เป็นปริมาณที่ได้จากปริมาณฐานตั้งแต่ 2 ปริมาณขึ้นไปมาสัมพันธ์กัน  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ปริมาณอนุพัทธ์
ชื่อหน่วย
สัญลักษณ์
เทียบเป็นหน่วยฐาน
และอนุพัทธ์อื่น
ความเร็ว
เมตรต่อวินาที
m/s
1 m / s  = 
ความเร่ง
เมตรต่อวินาที2
m /s2
1 m / s2 =  
แรง
นิวตัน
N
1 N  =  1 kg. m /s2 
งาน  พลังงาน
จูล
J
1 J  =  1 N.m
กำลัง
วัตต์
W
1 W  =  1 J /s
ความดัน
พาสคาล
Pa
1 Pa  =  1  N / m2 
ความถี่
เฮิรตซ์
Hz
1 Hz  =  1 s – 1 



7.  การบันทึกปริมาณที่มีค่ามากหรือน้อย
                   ผลที่ได้จากการวัดปริมาณทางวิทยาศาสตร์  บางครั้งมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า มากๆทำให้เกิดความยุ่งยากในการนำไปใช้งาน  ดังนั้น การบันทึกปริมาณดังกล่าว  เพื่อให้เกิดความสะดวกในการนำไปใช้สามารถทำได้ 2 วิธี  คือ
                   7.1  เขียนให้อยู่ในรูปของจำนวนเต็มหนึ่งตำแหน่ง   ตามด้วยเลขทศนิยม  แล้วคูณด้วยเลขสิบยกกำลังบวกหรือลบ ดังนี้                                                             

ตัวอย่าง    จงเขียนปริมาณต่อไปนี้ในรูปเลขยกกำลัง
                   .   360,000,000  เมตร                                 .    6,539,000   กิโลเมตร
       .   0.00048   กิโลกรัม                                     .    0.00127  วินาที
วิธีทำ         .   360,000,000  เมตร                 =             360,000,000
                                                                                =             3.6x108   เมตร
                   .    6,539,000   กิโลเมตร            =             7,539,000  
                                                                                =             6.5x106    กิโลเมตร
                   .   0.00038   กิโลกรัม                  =             0.00038
                                                                                =             3.8x10 – 4  กิโลกรัม
                   .    0.00117  วินาที                       =             0.00117
                                                                                =             1.17x10- 5   วินาที
                         7.2  เขียนโดยใช้คำ อุปสรรค ( prefix)”
                         คำอุปสรรค  คือ คำที่ใช้เติมหน้าหน่วย SI   เพื่อทำให้หน่วย SI  ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง  ดังแสดงในตาราง

คำอุปสรรค

สัญลักษณ์
ตัวพหุคูณ

คำอุปสรรค

สัญลักษณ์
ตัวพหุคูณ
เทอรา
T
10 12
พิโค
 P
10 -12
จิกะ
G
10 9
นาโน
 n
10 - 9
เมกะ
M
10 6
ไมโคร
m
10 – 6
กิโล
 k
10 3
มิลลิ
 m
10 – 3
เฮกโต
 h
10 2
เซนติ
 c
10 – 2
เดคา
 da
10
เดซิ
d
10 - 1
ตัวอย่าง    จงเขียนปริมาณต่อไปนี้  โดยใช้คำอุปสรรค
                   ความยาว  12  กิโลเมตร   ให้มีหน่วยเป็น  เมตร
                   มวล  0.00035  เมกะกรัม  ให้มีหน่วยเป็น   มิลลิกรัม
วิธีทำ        
                   เปลี่ยน   กิโล  ® เมตร
. เปลี่ยน   เมกะ  ® กิโล  ® กรัม ® มิลลิ
                   =   12 x 10 3   
                   =  0.00035 x 10 3 x 10 3  x 10 3
                   =   1.2 x 10 4  เมตร
                   =  0.00035 x 10 9

                   =  ( 3.5 x 10 – 4 ) x 10 9

                   =  3.5 x 10 5   มิลลิกรัม

                  
######################